เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 8



ประวัติพระโสณกุฏิกัณณเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้.
ถ้อยคำท่านเรียกว่า วากฺกรณ ในบทว่า กลฺยาณวากฺกรณานํ.
อธิบายว่า ถ้อยคำอันงามคือถ้อยคำอันไพเราะ จริงอยู่ พระเถระนี้
กล่าวธรรมกถาด้วยเสียงอันไพเราะ แด่พระตถาคตในพระคันธกุฏี
เดียวกันกับพระทศพล. ครั้งนั้น พระศาสดาได้ประทานสาธุการ
แก่ท่าน เพราะฉะนั้น พระเถระนั้นจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุ
ผู้มีวาจาไพเราะ คำว่า โสณะ เป็นชื่อของท่าน แต่ท่านทรงเครื่อง
ประดับหู (ตุ้มหู) มีค่าถึงโกฏิหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาพึงเรียกว่า
กุฏิกัณณะ หมายความว่าพระโสณะผู้มีตุ้มหูราคาโกฏิหนึ่ง ในปัญหา
กรรมของท่านมีสิ่งที่จะพึงกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้ :-
แม้พระเถระนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ. ไป
วิหารกับมหาชนโดยนัยก่อนนั้นแล ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท
เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เป็นยอด
ของเหล่าภิกษุผู้มีวาจาไพเราะ จึงคิดว่า แม้เราก็ควรเป็นยอดของ
เหล่าภิกษุผู้มีวาจาไพเราะในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ในอนาคต จึงนิมนต์พระทศพลถวายทาน 7 วัน ได้กระทำความ
ปรารถนาว่า พระเจ้าข้า พระองค์ทรงตั้งภิกษุใจไวในตำแหน่ง
ภิกษุผู้มีวาจาไพเราะ วันสุดท้ายใน 7 วันนับแต่วันนี้ แม้ข้าพระองค์
พึงเป็นเหมือนอย่างภิกษุนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

ในอนาคต ด้วยผลแห่งกุศลกรรมนี้ พระศาสดาทรงเห็นว่าไม่มี
อันตรายสำหรับเธอ จึงทรงพยากรณ์ว่า ท่านจักเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุผู้มีวาจาไพเราะในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าในอนาคตกาล
แล้วเสร็จกลับไป. ฝ่ายท่านก็กระทำกุศลกรรมจนตลอดชีวิต เวียน
ว่ายในเทวดาและมนุษย์แสนกัป จุติจากเทวโลกมาถือปฏิสนธิในท้อง
แห่งอุบาสิกาผู้เป็นแม่บ้านของครอบครัวชื่อว่า กาฬี ก่อนพระทศพล
ของเราทรงอุบัติ นางมีครรภ์ครบแล้วมายังนิเวศน์แห่งครอบครัว
ของตนในกรุงราชคฤห์.
สมัยนั้น พระศาสดาของเราทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
แล้วทรงประกาศธรรมจักรในราวป่าอิสิปตนะแล้ว เทวดาในหมื่น
จักรวาลมาประชุมกันแล้ว ในที่ประชุมนั้น ยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า
สาตาคิรยักษ์ ในระหว่างยักษ์เสนาบดี (แม่ทัพยักษ์) 28 ตน
ฟังธรรมกถาของพระทศพลตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ดำริว่า
ธรรมกถาอันไพเราะนี้ เหมวตยักษ์สหายของเราได้ฟังหรือมิได้ฟัง
หนอ ยักษ์นั้นมองหาในระหว่างหมู่เทพก็ไม่เห็นยักษ์นั้น จึงคิดว่า
สหายของเราไม่ทราบว่ารัตนะทั้ง 3 เกิดขึ้นแล้วแน่แท้ จำเราจักไป
กล่าวคุณแห่งพระทศพลแก่เขาและจะบอกถึงธรรมที่เราบรรลุ
แก่เขาด้วย จึงไปหาเหมวตยักษ์นั้น โดยทางเบื้องบนแห่งกรุงราชคฤห์
กับบริษัทของตน
ฝ่ายเหมวตยักษ์เห็นป่าหิมพานต์อันกว้างยาวถึง 3 พันโยชน์
มีดอกไม้บานในเวลามิใช่ฤดู คิดว่าเราจักเล่นการละเล่นในป่า
หิมพานต์กับสหายของเรา จึงไปกับบริษัทของตนโดยเบื้องบน

กรุงราชคฤห์เหมืนกัน แม้ยักษ์เหล่านั้นก็มาพบกันเบื้องบนนิเวศน์
ของอุบาสิกาในขณะนั้น ต่างก็ถามกันว่า พวกท่านเป็นบริษัท
ของใคร พวกเราเป็นบริษัทของสาตาคิรยักษ์ พวกท่านล่ะเป็น
บริษัทของใคร พวกเราเป็นบริษัทของเหมวตยักษ์ดังนี้ พวกยักษ์
เหล่านั้นต่างยินดีแล้วรำเริงแล้ว ไปแจ้งแก่ยักษ์เสนาบดีเหล่านั้น
สาตาคิรยักษ์กล่าวกะเหมวตยักษ์ว่า สหาย ท่านจะไปไหน ?
เหมวตยักษ์ตอบว่า สหาย เราจะไปสำนักท่าน สา. เพราะเหตุไร
เห. เราเห็นป่าหิมพานต์มีดอกไม้สะพรั่ง เราจักไปเล่นในป่าหิมพานต์
นั้นกับท่าน สา. สหาย ก็ท่านจะไปได้อย่างไร ? ท่านรู้ว่าป่าหิมพานต์
มีดอกไม้บานสะพรั่งด้วยเหตุไร เห. ไม่รู้สหาย สา. สิทธัตถกุมาร
โอรสพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ยังหมื่นโลกธาตุให้ไหวแล้วทรง
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ทรงประกาศธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
ในท่ามกลางเทวดาในหมื่นจักรวาล ท่านไม่รู้ว่าพระธรรมจักรนั้น
พระองค์ทรงประกาศแล้วหรือ. เห. ไม่รู้ดอกสหาย สา. ท่านสำคัญ
ว่าที่มีประมาณเท่านั้นนั่นเทียวมีดอกไม้บานสะพรั่ง แต่ทั่วหมื่น
จักรวาลเป็นเสมือนดอกไม้กลุ่มเดียวกันในวันนี้ เพื่อสักการะบุรุษ
นั้นนะสหาย. เห. ดอกไม้บานอยู่ก่อน พระศาสดานั้นท่านเห็นเต็ม
นัยตาแล้วหรือ สา. เออ สหายเหมวตะ เราเห็นพระศาสดาแล้ว
เราฟังธรรมแล้ว เราดื่มอมตะแล้ว เราจักทำท่านให้รู้อมตธรรม
นั้นบ้าง เราจึงมายังสำนักของท่านสหาย. เมื่อยักษ์เหล่านั้นกำลัง
เจรจากันอยู่นั่นแล อุบาสิกาลุกขึ้นจากที่นอนอันมีสิริ นั่งฟังการ
เจรจาปราศรัยนั้น ถือเอานิมิตในเสียงกำหนดว่า เสียงนี้เป็นเสียง
ในเบื้องบน ไม่ใช่ในภายใต้ เป็นเสียงอมนุษย์พูด มิใช่เสียงมนุษย์

พูด เงี่ยโสตประคองใจ. แต่นั้นสาคาคิรยักษ์พูดว่า

อชฺช ปณฺณรโส อุโปสโถ (อิติ สาตาคิโร ยกฺโข)
ทิพฺพา รตฺติ อุปฏฺฐิต
อโนนนามํ สตฺถารํ
หนฺท ปสฺสาม โคตมนฺติ.
วันนี้เป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำ ราตรีอันเป็นทิพย์
ปรากฏแล้ว มาเราทั้งสองจงไปเฝ้าพระโคดม
มีพระนามอันไม่ทรามเถิด


สาตาคิรยักษ์กล่าวดังนี้แล้ว เหมวตยักษ์กล่าวว่า

กจฺจิ มโน สุปณิหิโต (อิติ เหมวโต ยกฺโข)
สพฺพภูเตสุ ตาทิโน
กาจฺจิ อิฏฺเฐ อนิฏเฐ จ
สงฺกปฺปสฺส วสีคตาติ.
พระโคดมผู้คงที่ ทรงตั้งพระทัยไว้ดีแล้วใน
สัตว์ทั้งปวงหรือ พระโคดมทรงกระทำความดำริ
ในอิฏฐารมณ์แลอนิฏฐารมณ์ให้อยู่ในอำนาจแล
หรือ.


เหมวตยักษ์ถามถึงกายมาจาร อาชีพ และมโนสมาจาร
ของพระศาสดาอย่างนี้แล้ว สาตาคิรยักษ์ วิสัชชนาข้อที่เหมวตยักษ์
ถามแล้ว ๆ เมื่อจบเหมวตสูตรแล้วตามความชอบใจด้วยการกล่าว

คุณแห่งสรีรวรรณะของพระศาสดาอย่างนี้แล้ว เหมวตยักษ์
ส่งญาณไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนาของสหาย ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติผลแล้ว. คราวนั้น นางกาฬีอุบาสิกา ยังไม่เคยเห็นพระ-
ตถาคตเลยก็เกิดความเลื่อมใสที่ได้ฟังในธรรมที่เขาแสดงแก่บุคคล
อื่น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ประดุจบริโภคโภชนะที่เขาจัดสำหรับ
คนอื่นฉะนั้น, อุบาสิกานั้น เป็นพระโสดาบันคนแรกในระหว่าง
หญิงทั้งหมดและเป็นหัวหน้าหญิงทั้งหมด. ในคืนนั้น นางก็คลอด
บุตรพร้อมกับการบรรลุโสดาปัตติผล ในวันขนานนามทารกที่ได้
มาแล้ว ตั้งชื่อว่า โสณะ. อุบาสิกานั้นอยู่ในเรือนแห่งครอบครัว
ตามความพอใจแล้วได้ไปยังกุลฆรนคร

สมัยนั้น พระมหากัจจายนเถระ อาศัยเมืองนั้น อยู่ที่ภูเขา
อุปวัตตะ อุบาสิกาอุปัฏฐากพระเถระ พระเถระไปนิเวศน์ของนาง
เป็นประจำ แม้เด็กโสณก็เที่ยวเล่นในสำนักของพระเถระเป็นประจำ
จึงคุ้นเคยกัน ต่อมาเด็กนั้นบรรพชาในสำนักของพระเถระ พระเถระ
ประสงค์จะให้ท่านอุปสมบท แสวงหาภิกษุอยู่ 3 ปีครบคณะจึงให้
อุปสมบทได้ ท่านอุปสมบทแล้วให้พระเถระบอกกัมมัฏฐานเจริญ
วิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว เรียนคัมภีร์สุตตนิบาตในสำนัก
ของพระเถระ ออกพรรษาปวารณาแล้ว ประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา
จึงลาพระอุปัชฌาย์ พระเถระกล่าวว่า โสณะเมื่อท่านไปแล้ว พระ-
ศาสดาจะให้ท่านอยู่ในพระคันธกุฏีเดียวกัน จักเชิญให้ท่านกล่าว
ธรรม พระศาสดาจะทรงเลื่อมใสในธรรมกถาของท่าน จักประทาน
พรแก่ท่าน เมื่อท่านจะรับพร จงรับเอาพรอย่างนี้ จงไหว้พระบาท

ของพระทศพลตามคำของเรา พระโสณะนั้นอันพระอุปัชฌาย์
อนุญาตแล้วจึงไปบอกแก่โยมอุบาสิกา แม้อุบาสิกานั้นก็กล่าวว่า
ดีละพ่อ ท่านเมื่อไปเฝ้าพระทศพล จงเอาผ้ากัมพลผืนนี้ไป จงลาด
กระทำให้เป็นผ้ารองพื้นในพระคันธกุฏีที่ประทับของพระศาสดา
แล้วถวายผ้ากัมพลผืนใหญ่ไป พระโสณเถระรับผ้านั้นไปแล้ว เก็บ
งำเสนาสนะไปถึงที่ประทับของพระศาสดาโดยลำดับ เข้าไปเฝ้า
ในเวลาที่พระทศพลประทับนั่งบนพุทธอาสน์ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืน
อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระศาสดาทรงกระทำปฏิสัณฐารกับพระเถระนั้นแล้ว ตรัส
เรียกพระอานนทเถระมาตรัสว่า อานนท์ จงจัดเสนาสนะสำหรับ
ภิกษุรูปนี้ พระเถระทราบพระประสงค์ของพระศาสดา ได้ลาดผ้า
แล้วประดุจยกผ้าลาดพื้นไว้ตรงกลางในภายในพระคันธกุฏี ครั้งนั้น
แล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งกลางแจ้งตลอดราตรีเป็นอันมาก
จึงเสด็จเข้าพระวิหาร แม้ท่านพระโสณะก็ยับยั้งกลางแจ้งตลอดราตรี
เป็นอันมากเหมือนกัน จึงเข้าพระวิหาร พระศาสดาเสด็จสีหยาสน์
ในมัชฌิมยาม เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งในสมัยใกล้รุ่ง ทรงทราบว่า
ความลำบากกายของพระโสณะจักสงบระงับด้วยเหตุเพียงเท่านี้
แล้วเชื้อเชิญให้กล่าวธรรม พระโสณเถระได้กล่าวพระสูตรที่เนื่อง
ด้วยอัฏฐกวัคค์ พยัญชนะตัวหนึ่งก็ไม่เสียด้วยเสียงอันไพเราะ
เมื่อจบคาถา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสาธุการ ประกาศ
ถึงความเลื่อมใสว่า ภิกษุ ธรรมเธอเรียนไว้ดีแล้ว เทศนาในเวลา
ที่เราแสดงแล้วก็ดีในวันนี้ก็ดี เป็นอย่างเดียวกันเทียว ไม่ขาดไม่เกิน

เลย. ฝ่ายพระโสณกำหนดว่านี้เป็นโอกาส แล้วถวายบังคมพระทศพล
ตามคำของพระอุปัชฌาย์ ทูลขอพรทุกอย่างตั้งต้นแต่การอุปสมบท
ด้วยคณะมีพระวินัยธรครบ 5 พระศาสดาทรงประท่านแล้ว ต่อมา
พระเถระถวายบังคมตามคำของอุบาสิกามารดาว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ อุบาสิกาส่งผ้ากัมพลผืนนี้มาเพื่อปูลาดพื้นในพระคันธกุฏี
ที่ประทับของพระองค์ แล้วถวายผ้ากัมพล ลุกขึ้นจากอาสนะถวาย
บังคมพระศาสดากระทำปทักษิณหลีกไปแล้ว. ในเรื่องนี้มีความ
สังเขปเท่านี้. แต่โดยพิสดารเรื่องตั้งแต่การบรรพชาของพระเถระ
เป็นต้นทั้งหมด มาในพระสูตรแล้ว.
ดังกล่าวมานี้ พระเถระได้พร 8 ประการจากสำนักพระ-
ศาสดาแล้วกับไปยังสำนักพระอุปัชฌาย์ เล่าประพฤติเหตุทั้งปวง
นั้นแล้ว. วันรุ่งขึ้นไปยังประนิเวศน์ของโยมอุบาสิกา ยืนคอยอาหาร
อุบาสิกาฟังข่าวว่า บุตรของเรามายืนที่ประตู จึงรีบมาอภิวาทแล้ว
รับบาตรจากมือ นิมนต์ให้นั่งในนิเวศน์ของตน ถวายโภชนะแล้ว.
ทีนั้นเมื่อฉันเสร็จ อุบาสิกากล่าวกะท่านว่า พ่อท่านได้พบพระทศพล
แล้วหรือ. พบแล้ว อุบาสิกา. อุ.ท่านได้ไหว้ตามคำของโยมแล้วหรือ
ส.จ๊ะ ไหว้แล้ว และผ้ากัมพลของเรานั้น ได้ลาดไว้ให้เป็นผ้าลาดพื้น
ในที่ประทับของพระตถาคตแล้ว อุ.พ่อ ได้ยินว่า ท่านกล่าวธรรมกถา
ถวายพระศาสดาและพระศาสดาได้ทรงประทานสาธุการแก่ท่านหรือ.
พระย้อนถามว่า โยมทราบได้อย่างไร อุบาสิกา. อุบาสิกากล่าวว่า
พ่อเทวดาที่สถิตอยู่ในเรือนของโยมบอกว่า เทวดาในหมื่นจักรวาล
ได้ถวายสาธุการเมื่อพระศาสดาประทานสาธุการแก่ท่าน แล้ว
กล่าวว่า พ่อ โยมหวังว่า ท่านควรกล่าวธรรมเหมือนอย่างที่ท่าน

กล่าวแล้วแก่โยมบ้าง โดยทำนองที่ได้กล่าวแด่พระพุทธเจ้า พระเถระ
รับคำของโยมแล้ว. นางทราบว่าพระเถระรับคำแล้ว จึงให้ทำมณฑป
ใกล้ประตู นิมนต์ให้กล่าวธรรมแก่ตนโดยทำนองที่กล่าวแก่พระทศพล
แล้ว. เรื่องตั้งขึ้นแล้วในที่นี้. ต่อมาพระศาสดาประทับนั่ง ณ ท่ามกลาง
หมู่พระอริยะ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่า
ภิกษุผู้มีวาจาไพเราะแล้ว.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 8

อรรถกถาสูตรที่ 9



ประวัติพระสีวลีเถระ



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 9 ดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า ลาภีนํ ยทิทํ สีวลี ทรงแสดงว่า เว้นพระตถาคต
พระสีวลีเถระเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้มีลาภ ในปัญหากรรมของท่าน
มีเรื่องที่จะกล่าวโดยลำดับดังต่อไปนี้
แม้พระเถระนี้ ในอดีตครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ไปพระวิหาร ยืนฟังธรรมอยู่ท้ายบริษัท โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นเทียว
เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของ
เหล่าภิกษุมีลาภ คิดว่า แม้เราก็ควรเป็นผู้มีอย่างนั้นเป็นรูปในอนาคต